เสียเงินไปกับสกินแคร์ไปเยอะแยะ แต่ทำไมผิวหน้ายังเหมือนเดิม? สาวๆจำนวนไม่น้อยคงเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้ ก่อนอื่นเลย สกินแคร์ที่แพงก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับผิวหน้าเราเสมอไป ถ้าหากอยากให้สกินแคร์ที่ใช้ได้ผลเราก็ควรที่จะสำรวจสุขภาพผิวหน้าของตัวเองก่อนว่าเหมาะหรือไม่เหมาะสมกับสกินแคร์ประเภทใด
เราสามารถแบ่งประเภทของผิวหน้าออกได้ทั้งหมด 5 ประเภทด้วยกัน วันนี้ Plantnery สรุปมาให้แล้วว่าผิวแบบไหนควรใช้สกินแคร์แบบไหน ตามไปดูกันเลย
1.ผิวธรรมดา (Normal Skin)
สาวๆคนใดมีผิวหน้าธรรมดา ถือว่าโชคดีมากๆ เพราะอีกชื่อนึงก็คือ ผิวสุขภาพดี หรือเป็นผิวที่มีความสมดุลมากที่สุด ก็คือไม่มันและไม่แห้งจนเกินไปนั่นเอง
เราจะสามารถสังเกตุได้จาก
- บริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก และคาง) ไม่แห้งแต่จะมีความมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- มีรูขุมขนขนาดเล็ก
- ไม่ค่อยมีปัญหาสิวมากวนใจ
ส่วนการเลือกสกินแคร์สำหรับคนผิวธรรมดานั่นไม่ยากเลย เพียงแค่เลือกใช้สกินแคร์ที่มีความเข้มข้นปานกลาง ไม่หนัก ไม่เบาจนเกินไป เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยเฉพาะการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีค่า pH 5.5 จะช่วยรักษาสมดุลของผิวได้ดียิ่งขึ้น
2.ผิวมัน (Oily Skin)
ลักษณะผิวมันก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวนะ คนผิวมันจะพบปัญหาเรื่องริ้วรอยก่อนวัย หรือรอยเหี่ยวย่นน้อยมากๆ สาเหตุของผิวหน้ามันมาจาก ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเยอะเกินไป ทำให้ผิวเงา มันวาว โดยปัจจัยที่ทำให้ผิวมันมีหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น
เราจะสามารถสังเกตุได้จาก
- รูขุมขนขนาดค่อนข้างกว้าง มองเห็นได้ชัด
- ผิวเงามันวาว
- มักพบปัญหาสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวอักเสบ หรือผิวอุดตัน
การเลือกสกินแคร์ของคนผิวมันนั้นก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นประเภท เจล เนื้อบางเบา และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เกี่ยวกับน้ำมัน พร้อมทั้งใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า และโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เนื่องจากคนผิวหน้ามันส่วนใหญ่มีรูขุมขนกว้าง ทำให้มีสิ่งสกปรกอุดตันและเกิดสิวได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ซึ่งจะควบคุมความมัน และขจัดสิ่งสกปรก แต่ก็ไม่ควรล้างบ่อยจนเกินไปนะ นอกจากจะไม่ได้ทำให้ผิวหน้าแห้งแล้ว ร่างกายจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาทดแทนทำให้ผิวมันกว่าเดิม เตือนแล้วน้าาา
3.ผิวแห้ง (Dry Skin)
ผิวแห้งหรือผิวที่ขาดความชุ่มชื้น เป็นผิวที่มีความมันน้อยกว่าปกติ มีตั้งแต่ระดับที่แห้งเล็กน้อย เพราะขาดความชุ่มชื่นนิดหน่อย ไปถึงแห้งหนักมากจนลอก แตกเป็นขุยหรือลอกเป็นแผ่น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคัน และเป็นต้นเหตุของการเกิดผิวหมองคล้ำ และริ้วรอยก่อนวัยได้ง่ายอีกด้วย
เราจะสามารถสังเกตุได้จาก
- รูขุมขนเล็กละเอียด
- ผิวลอกเป็นขุย
- ตึงผิว
- ผิวไม่ค่อยกระจ่างใส
คนผิวแห้งจะเหมาะกับสกินแคร์ที่เป็น เนื้อครีมเข้มข้นสำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะเพื่อกักเก็บความชุ่มชื่นไว้ในผิว การใช้สเปรย์น้ำแร่เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ แต่ต้องระวังผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือมีฟองเยอะ เพราะจะทำให้หน้าแห้งกว่าเดิม
4.ผิวผสม (Combination Skin)
ผิวผสมเป็นผิวที่มีลักษณะรวมกันอยู่สองประเภทด้วยกัน คือ ผิวแห้ง และผิวมัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผิวหน้าที่มันจะอยู่ตรงบริเวณ T-Zone (หน้าผาก จมูก และคาง) แต่บริเวณ U- Zone (รอบดวงตาและแก้ม) จะมีลักษณะแห้ง ซึ่งในบริเวณที่มันก็จะเกิดจากการผลิดน้ำมันออกมามากเกินไป และในบริเวณที่แห้งก็เกิดจากการผลิตน้ำมันน้อยเกินไป
เราจะสามารถสังเกตุได้จาก
- มีสิวผดบริเวณหน้าผาก
- ผิวมันบริเวณ T-Zone และแห้งในบริเวณ U-Zone
- มักมีสิวบริเวณ T-Zone
คนผิวผสมควรเลือกใช้สกินแคร์ที่เป็นเนื้อเจล แบบบางเบาในตอนเช้า และแบบเนื้อครีมเข้มข้นในเวลากลางคืน การดูแลผิวผสมต้องดูแลด้วยวิธัผสมผสาร เพราะลักษณะผิวในแต่ละประเภทต้องการการดูแลที่แตกต่างกันออกไป ไม่ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ
5.ผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin)
ผิวแพ้ง่ายเป็นอีกลักษณะของผิวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นผิวที่บอบบางมากๆ เกิดการระคายเคืองได้ง่าย และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆรอบตัว ส่วนใหญ่จะพบในผู้ที่มีผิวแห้ง อีกทั้งยังเกิดการแพ้ต่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ง่ายอีกด้วย เช่น การเกิดผื่นแดง สิวผด หรือรอยด่าง เป็นต้น
เราจะสามารถสังเกตุได้จาก
- ผื่นขึ้นง่าย
- ผิวหน้าบาง
- ผิวหน้าลอก
- แสบหรือคันผิวหน้า
สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หรือผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังมาแล้ว อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์จำพวก เวชสำอางค์ เพื่อเติมความชุ่มชื้นและปรับโครงสร้างผิว ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ น้ำหอม และแอลกอฮอล์ ที่สำคัญเลยคือต้องพยามสังเกตุว่าแพ้ผลิตภัณฑ์ หรือสารประกอบประเภทไหน เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจุยที่ทำให้เกิดการแพ้
เมื่อเรารู้แล้วว่าผิวของเราเป็นแบบไหน การดูแลผิวหน้าก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราสามารถเลือกวิธีการดูแลให้ตอบโจทย์กับผิวหน้าที่เป็นอยู่ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ผลิตภัณฑ์การบำรุงผิวนั่นเอง